รองเท้าดอกบัวคือพยานรัก หรือความรวดร้าวของชีวิต?
สำหรับผู้ชายจีนตั้งแต่ในยุคห้าราชวงศ์ (ค.ศ. 907- 960) เป็นต้นมา ดูนางก็ต้องดูที่เท้า ถ้าเท้าตูมเล็กกระจิริดราวดอกบัว นั่นคือ “นางที่ดี” จุดเริ่มต้นของเท้าดอกบัวตูมว่ากันว่าเริ่มมาจากการเต้นรำอันน่าดึงดูดใจของ Yao Niang เมียน้อยคนหนึ่งของจักรพรรดิ ซึ่งออกแบบการเต้นรำด้วยการสวมรองเท้าดอกบัวที่ทำจากทองคำและประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอยและไข่มุก นับเนื่องแต่นั้นมา จักรพรรดิก็หลงรักเท้ากระจิริดของหญิงสาว ส่วนหญิงสาวก็หลงรักชีวิตอันยิ่งใหญ่และร่ำรวยที่ติดอยู่ในความเป็นจักรพรรดิของผู้ชาย
รองเท้าดอกบัวคู่จิ๋วหลากสีสันคือพยานรักครั้งนั้นของทั้งคู่
นับเนื่องแต่นั้นเรื่อยมาอีกเช่นกัน, หญิงสาวผู้รัดเท้าต้องหัดทำรองเท้าดอกบัวไว้ใส่เอง นั่นคือจุดประสงค์รอง จุดประสงค์หลักคือเพื่อฝึกปรือฝีมือปักบนรองเท้าให้ประณีตเข้าตาว่าที่สามีในอนาคต เมื่อถึงคิวเลือกคู่ รองเท้าคู่จิ๋วจะถูกส่งไปให้ดูตัวก่อนเป็นด่านแรก ฝีมือปักจะเป็นตัวบอกถึงคุณภาพทั้งชีวิตของหญิงสาว ขนาดรองเท้าจะเป็นหลักฐานยืนยันว่าดอกบัวดอกนั้นเล็กจ้อยแค่สามนิ้วหรือไม่ ถ้าใช่ นั่นคือเท้าดอกบัวทอง คุณค่าที่ผู้ชายทุกคนคู่ควร แต่ถ้าเท้าขนาดสี่นิ้ว นั่นคือดอกบัวเงิน – ก็รอผู้ชายเค้าให้โอกาสนะคะ ส่วนเท้าขนาดห้านิ้วนั่นคือดอกบัวเหล็ก จงใช้ชีวิตน้อยเนื้อต่ำใจที่เท้าไม่เล็กพอ ทั้งๆ ที่ลงทุนความเจ็บปวดไปแบบไม่น้อยหน้าใคร ส่วนใครที่ไม่ได้รัดเท้า ตกรอบชีวิตไปเถอะค่ะ ผู้ชาย “ดีๆ” รวยๆ เกรดจักรพรรดิที่ไหนกันจะลดตัวมาเป็นสามีให้กับผู้หญิงเท้าบานใหญ่กำยำ วิ่งก็ได้ เดินเหินก็คล่อง ดูเหมือนจะสู้ชีวิตสู้คน ผู้หญิงแบบนี้, ผู้ชายเขากลัว สู้หญิงสาวเท้าดอกบัวก็ไม่ได้ ที่มองไปกี่ครั้งย่างเยื้องกระโผลกกระเผลกนั่นก็เย้าย้วนปลุกเร้าความเป็นชายเสียเหลือเกิน
รองเท้าดอกบัวเห็นมุ้งมิ้งเล็กจ้อยอย่างนี้ แต่ก็กอบกำอำนาจสังคมชุดใหญ่ประโคมลงมาจนเต็มความจิ๋วของรองเท้าเพื่อให้ “ผู้หญิงดี” ได้สวมใส่ไว้ติดตัว รองเท้าสีแดงคือรองเท้าที่ใส่ไปงานแต่งงานและงานปีใหม่ สีแดงเป็นสีของเยาว์วัย สีดำเป็นสีของคนแก่ สีขาวเป็นสีสำหรับการไว้อาลัย แต่ความอาลัยก็มีเฉดอีก สีขาวซึ่งเหมือนจะมีขาวเดียวก็มีถึงห้าเฉด เพราะคนเราไม่เท่ากัน มีพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ความตายและอาลัยรักของเราจึงขาวร่วมเฉดกันไม่ได้ แม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันก็เถอะ เหมือนที่คนต่างชนชั้นก็ใช้ชีวิตร่วมเฉดสีเดียวกันไม่ได้ สีเหลืองเป็นสีของชนชั้นนำ จักรพรรดิและครอบครัวมีสีเหลืองเฉดหนึ่ง ส่วนครอบครัวเครือญาติของจักรพรรดิและศาลก็เหลืองอีกเฉดหนึ่ง พวกขุนนางและคนรวยก็เหลืองต่างไปอีกเฉดหนึ่ง ส่วนคนจนไม่ค่อยใส่สีเหลือง นี่แค่เรื่องสีนะ ยังไม่รวมว่ามีรองเท้าสำหรับกลางวันและกลางคืน รองเท้าของแต่ละภูมิภาค รองเท้าของแต่ละฤดูกาล อะไรเหล่านี้ก็ยังต่างกันไปในรายละเอียดยิบย่อยได้อีก ขึ้นอยู่กับว่ารวยหรือจน
รองเท้าดอกบัวคู่จิ๋วจึงคือยูนิฟอร์มอำนาจที่คัดกรองการปนเปื้อนผู้หญิงต่างชนชั้นออกจากกัน
ดอกไม้อีโรติก, ผู้ชายใต้อุ้งเท้า, และอนาคตที่ถูกรัดทึ้ง
ยูนิฟอร์มชีวิตที่มาในรูปของรองเท้ามุ้งมิ้งคู่จิ๋วนี่แหละ ที่ประเคนให้ผู้ชายกลายเป็นจักรพรรดิกันถ้วนหน้า
Jung Chang เล่าเรื่องนี้ไว้เรียบนิ่งใน Wild Swans: Three Daughters of China นวนิยายหญิงล้วนที่มียาย แม่และเธอเป็นต้นเรื่อง และหนึ่งในฉากชีวิตของผู้หญิงสามคนนี้ก็คือการที่ยายของเธอถูกรัดเท้า — โดยแม่ของยายเอง แม่ของยายซึ่งก็เคยถูกรัดเท้าโดยแม่ของตัวเองมาก่อนหน้านี้
การรัดเท้าเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนกระทั่งยายของ Chang ยังไม่ทันได้หลงใหลใฝ่ฝันอะไรเลยในชีวิต ไม่ทันแม้แต่จะรู้จักการปฏิเสธเลยด้วยซ้ำไป แต่ชีวิตก็ต้องลัดคิวตัวเองมาเรียนรู้การจำนนแบบสิ้นซากเป็นสิ่งแรก
ยายของ Chang ถูกรัดเท้าตั้งแต่อายุสองขวบ! (อายุเฉลี่ยทั่วไปจะอยู่ที่ 4 -5 ขวบ)
เริ่มด้วยแม่เอาผ้าขาวมาพันเท้า โดยที่นิ้วเท้าทั้งหมดจะถูกห่อม้วนให้งอเข้าไปอยู่ใต้อุ้งเท้า ยกเว้นนิ้วโป้ง ใต้อุ้งเท้ากลายเป็นดินแดนอำมหิตไกลโพ้นสำหรับเด็กสองขวบที่ต้องลากนิ้วเท้าทั้งหมดไปกองตายอยู่ที่นั่น แล้วหลังจากนั้นแม่ก็จะใช้หินก้อนใหญ่ทุบลงที่กระดูกด้านข้างของเท้าเพื่อให้กระดูกเยาว์วัยนั่นแตกตายและง่ายพอที่จะงุ้มงอไปตามแรงรัดของผ้าขาว เสียงร้องกรีดความเจ็บปวดสุดลูกหูลูกตาระเบิดออกมาสลับพร่ำอ้อนวอนซ้ำๆ จากเด็กสองขวบ – ขอให้แม่หยุด ขอให้แม่หยุด
อายุเท่านั้นยังไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของแม้กระทั่งภาษาพูดเลย! แต่ก็ดันได้ครอบครองน้ำตาที่บ่าไหลโศกนาฏกรรมห่าใหญ่มาท่วมทั้งชีวิตจนจมดับยับย่อยลงไปในเยาว์วัยที่ไม่มีวันได้เติบโตไปไหนได้อีก
โลกไม่ใช่ของเธอนะเด็กสองขวบ เธอเด็กเกินกว่าที่จะเป็นเจ้าของโลกใบนี้ เด็กเกินกว่าที่จะเป็นเจ้าของเท้าตัวเองด้วยซ้ำไป ทั้งโลกนี้และเท้าของเธอคือของผู้ชายทั้งหมดในชีวิตเธอ และทั้งหมดนั่นเรียกว่าความหวังดี ความเจ็บปวดของเธอคือความหวังดีจากพวกเขาที่มอบให้เธอล่วงหน้า – รับไปสิ
แม่ไม่ได้หยุดทุบชีวิตเธอด้วยหินก้อนใหญ่นั่น แม้เธอร้องขอสุดชีวิต แม่หยุดเสียงชีวิตที่ร้องขอออกมาจากความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุดของเธอด้วยการยัดผ้าสีขาวอุดไปที่ปากเยาว์วัยนั่นแทน เสียงกรีดร้องของเธอยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหวังดีของผู้ใหญ่ได้ และเสียงเยาว์วัยขนาดนั้นก็ควรถูกทำให้เงียบลง ผ้าสีขาวไม่ได้อุดแค่ปากเธอไว้ แต่อุดความเจ็บปวดทั้งหมดที่กำลังดิ้นพล่านหมุนคว้างในร่างเล็กของเธอให้ไร้ทางออกเข้าไปด้วย…นอกเหนือจากที่ไร้ทางสู้มาแล้ว
ความเจ็บปวดของเด็กผู้หญิงไม่ควรออกมาชุมนุมกันนอกเรือนร่างให้ใครได้รับรู้ มันควรสุมแน่นอยู่เต็มร่างเต็มชีวิตเยาว์วัยนั่นไปเงียบๆ จงห่อซ่อนมันไว้เหมือนเท้าดอกบัวนั่นแหละ
จากวันนั้น, กรีดร้องโหยไห้ของวัยสองขวบก็รัดชีวิตเธอไปตลอดกาล ทุกวันของทุกปีเธอติดอยู่ในความเจ็บปวดของอายุสองขวบ ผ้ารัดเท้าคือพยาน อีกหลายปีที่เท้าของเธอต้องถูกพันธนาการแน่นหนาด้วยผ้านั่น ผ้าที่รัดสุดไปจนทุกอณูของชีวิต เพื่อให้แน่ใจว่าเท้าของเธอจะไร้ชีวิตอย่างไม่มีวันเติบโตไปไหนได้ เท้าของเธอจะเล็กจ้อยเจียมตัวอยู่แค่ขนาดดอกบัวตูม
หลังจากวันนั้นอีกหลายปีเช่นกันที่เธออ้อนวอนแม่ทุกครั้ง, ทุกๆ ครั้ง, ขอให้เลิกรัดเท้าของเธอ
ทุกครั้ง, ทุกๆ ครั้ง, แม่ปาดน้ำตาต่อหน้าคำอ้อนวอนของเธอ แม่ตอบคำอ้อนวอนของเธอกลับมาว่าสิ่งที่แม่กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อความสุขของเธอในอนาคต ถ้าเอาผ้ารัดเท้าออก ชีวิตของเธอก็จะถูกทำลายทั้งชีวิต เพื่อไม่ให้ชีวิตของเธอถูกทำลาย แม่จึงปกป้องเธอ ด้วยการรัดเท้าของเธอเอาไว้…อย่างปลอดภัย
อะไรคือความสุขในอนาคตที่เด็กสองขวบต้องแลกมาด้วยความทุกข์สุดกู่ปีแล้วปีเล่าขนาดนี้? และถึงขนาดนี้แล้ว, ชีวิตจะยังมีอะไรเหลือให้ต้องปกป้องกันอีก? อนาคตยังจะมีความสุขอะไรรอให้ไปเจอได้อีก? ในเมื่อการปกป้องและความหวังดีได้ทำลายทุกอย่างให้ตายลงไปต่อหน้าต่อตาหมดแล้วตั้งแต่เธออายุสองขวบ
ความสุขในอนาคตนั่น…ของใครกันแน่?
เรื่องเล่าของ Chang ได้ล่อนจ้อนความเป็นชายออกมาจนหมดสิ้น ผู้ชายจะเป็นผู้ชายได้อย่างไรกัน ถ้าไม่มีความอ่อนแอของผู้หญิงมาชงเสิร์ฟให้ชิงความได้เปรียบจนถึงที่ขนาดนี้ ความเป็นชายไม่ได้งอกออกมาจากร่างของผู้ชายได้เองนะ ร่างนั้นไม่เคยมีอะไร ความเป็นชายงอกออกมาจากเท้าดอกบัวของผู้หญิงที่พันผ้าข้ามทศวรรษไว้รออุ้มผู้ชายแปลกหน้าตั้งแต่พวกเธอยังเป็นเด็ก ยาวนานทรมานพันรัดเท้าค้างรอมาจนป่านนี้ เท้าก็เน่าเฟะได้ที่และส่งกลิ่นเหม็นโฉ่อย่างพอดี
กลิ่นเน่าจากเท้าเหม็นของผู้หญิง – นั่นล่ะที่สิงสถิตของความเป็นชาย ผู้หญิงต้องถูกทำให้อ่อนแอปวกเปียกถึงเบอร์นี้จึงจะถือเป็นเสาหลักที่ค้ำยันอนาคตของผู้ชายเอาไว้ได้
ยักษ์จะไม่มีวันเป็นยักษ์ จักรพรรดิจะไม่มีวันเป็นจักรพรรดิ ผู้ชายจะไม่มีวันเป็นผู้ชาย ถ้าไม่มีใครยอมสวมยูนิฟอร์มอำนาจที่พวกเขายัดเยียดมาให้
อ้างอิง
https://www.mylearning.org
https://trc-leiden.nl
https://www.theworldofchinese.com
ศิริจินดา