Skip to content

Floral Inspiration Edutainment

RakDok (รักดอก)

ซ่อนกลิ่น


“ซ่อนชู้ชูช่ออรชร เหมือนเราซ่อนเป็นชู้คู่แฉล้ม ซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นประทิ่นแกม เหมือนกลิ่นแก้มโฉมยงเมื่อส่งตัว” - วรรณคดีขุนช้างขุนแผน

Meaning

Is it love or is it lust? 
‘รัก หลงใหล ความใคร่ การจากลา เสน่หา หรือว่าเย้ายวน?’
    ดอกซ่อนกลิ่นในความคุ้นชินของคนไทย หมายถึงความอัปมงคลซึ่งไม่ควรมีไว้ในครอบครอง เพราะเป็นดอกไม้ที่ชวนให้นึกถึงความตาย การจากลา ลางร้าย และความหมองเศร้า หากเป็นดอกซ่อนกลิ่นซึ่งมีกลีบซ้อนกันหลายชั้น จะมีอีกชื่อที่รู้จักกันในนาม ‘ดอกซ่อนชู้’ ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความหมายไม่งามนัก ซ่อนกลิ่นจึงเป็นดอกไม้ที่ไม่ใคร่จะได้รับความนิยมในประเทศไทย หากแต่ในความหมายแบบสากล ดอกซ่อนกลิ่นอาจสื่อถึงความรัก ความเสน่หา ความหลงใหล และยังหมายถึงความเย้ายวนในทางเพศได้อีกด้วย หลายประเทศนิยมใช้ซ่อนกลิ่นในพิธีแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นช่อดอกไม้เจ้าสาว ใช้ประดับผม หรือใช้ประดับในพิธี เพราะมีความเชื่อกันว่าความรักของบ่าวสาวจะร้อนแรงและหวานชื่นคงทนตลอดไป คล้ายกับกลิ่นหอมอันติดตรึงใจทนทานยาวนานของดอกซ่อนกลิ่น

Tuberoses and other stories
เรื่องอยากบอกของดอก ซ่อนกลิ่น
    ซ่อนกลิ่นเป็นดอกไม้ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องความหอมรัญจวนใจ และเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศได้เป็นอย่างดี จนมีเรื่องเล่าถึงความสามารถในการปลุกกำหนัดได้อย่างน่าอันตรายกลิ่นนี้ว่า ในไร่ดอกซ่อนกลิ่นของอินเดีย จะใช้เฉพาะผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเก็บผลผลิต เพื่อป้องกันเรื่องไม่ดีในด้านชู้สาวซึ่งกลิ่นอาจไปกระตุ้นความรู้สึกของบรรดาคนงานหนุ่มสาว โดยหญิงสาวทั้งหลายจะถูกสั่งให้ออกห่างจากดอกซ่อนกลิ่นในยามค่ำคืน เพื่อป้องกันการเกิดอารมณ์ปั่นป่วนชวนให้ทำเรื่องเสียหาย ในตำราอายุรเวชของอินเดียนั้นระบุไว้ว่า กลิ่นหอมของซ่อนกลิ่นจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวา ซึ่งมีส่วนในเรื่องของจินตนาการหรือการสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย เหมาะกับผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หดหู่ เนื่องจากจะช่วยให้รู้สึกมั่นใจและกระตุ้นให้อยากใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยสรรพคุณอันมากมาย กลิ่นหอมของซ่อนกลิ่นจึงกลายเป็นของล้ำค่าในอุตสาหกรรมน้ำหอม แต่ความที่เป็นดอกไม้ซึ่งช้ำง่ายและไม่อาจสกัดได้ด้วยความร้อน การผลิตหัวน้ำมันหอมของซ่อนกลิ่นจึงต้องใช้กรรมวิธีการสกัดในน้ำมันเย็นแบบโบราณซึ่งใช้เวลานานมาก โดยดอกซ่อนกลิ่นจำนวน 3,600 กิโลกรัม จะผลิตหัวน้ำมันหอมระเหยได้เพียงแค่ 1 กิโลกรัมเท่านั้น น้ำมันหอมจากซ่อนกลิ่นจึงถือเป็นของเลอค่าซึ่งมีแค่ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์เท่านั้นที่ใช้

History

    ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ดอกพื้นถิ่นอเมริกาใต้โดยเฉพาะในเม็กซิโก เชื่อกันว่าแพร่ขยายไปยังทวีปยุโรปโดยนักเดินเรือชาวสเปนและมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสซึ่งนำพันธุ์ไม้ติดตัวกลับไป จากนั้นความนิยมในการปลูกซ่อนกลิ่นจึงขยายไปยังหลายประเทศในยุโรป ในยุควิคตอเรียนของอังกฤษมีความนิยมจัดสวนด้วยดอกไม้สีขาวล้วนสะอาดตาซึ่งเรียกว่า Moon Garden ซ่อนกลิ่นก็เป็นหนึ่งไม้ดอกที่รวมอยู่ในคอลเลกชันนี้ เชื่อกันว่าชาวยุโรปซึ่งเดินทางเข้ามาทำการค้าขาย เป็นผู้นำพันธุ์ซ่อนกลิ่นมาสู่ทวีปเอเชียเช่นในอินเดีย จีน หรือฟิลิปปินส์ 

    สำหรับประเทศไทย ไม่มีบันทึกที่แน่นอนว่าซ่อนกลิ่นถูกนำเข้ามาเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เนื่องจากปรากฏข้อความในบันทึกประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม โดยบาทหลวง นิโกลาส์ แชร์แวส ซึ่งเดินทางเข้ามาในยุคนั้นเป็นผู้บันทึกเอาไว้ มีใจความตอนหนึ่งว่า “ดอกซ่อนกลิ่นที่ปลูกในกรุงศรีอยุธยานี้ มีกลิ่นหอมเย็นกว่าที่ปลูกในฝรั่งเศสมาก” จึงเป็นหลักฐานว่าซ่อนกลิ่นเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว หากอาจยังไม่ได้เป็นดอกไม้ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเท่าในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งเป็นยุคที่ปรากฏชื่อของดอกซ่อนกลิ่นในวรรณคดีมากมาย จึงเชื่อว่าดอกซ่อนกลิ่นเริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างตั้งแต่ยุคนั้นนั่นเอง

Culture

    ใน ‘บทกลอนกล่อมเด็ก’ ของหอพระสมุดวชิรญาณ พ.ศ. 2463 ปรากฏส่วนหนึ่งของเนื้อหา ความว่า “...อะไรในขัน มะดันแช่ อะไรในแคร่ ไหเหล้าไหยา อะไรในผ้า จำปาซ่อนกลิ่น…” จึงอาจตีความได้ว่าคนไทยในยุคก่อนใช้ซ่อนกลิ่นเพื่อสร้างกลิ่นกายหรือเสื้อผ้าให้หอมกรุ่นอย่างดอกไม้หอมอื่น ๆ แต่ในยุคหลังเริ่มมีการนำดอกซ่อนกลิ่นมาใช้ในงานศพ เพื่อให้กลิ่นหอมแรงในยามค่ำคืนของซ่อนกลิ่นช่วยกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซ่อนกลิ่นจึงกลายเป็นดอกไม้ที่อยู่คู่กับงานศพเป็นประจำ ทำให้เกิดความเชื่อฝังใจว่านี่คือดอกไม้อัปมงคลซึ่งไม่ควรนำมาครอบครอง จนครั้งหนึ่งซ่อนกลิ่นเกือบจะสูญหายไปจากประเทศไทย ความเชื่อในแง่ลบนี้ใกล้เคียงกับชาวมาเลเซียที่เชื่อกันว่า กลิ่นหอมรุนแรงยามค่ำคืนของซ่อนกลิ่นจะดึงดูดวิญญาณร้ายให้เข้ามาหา หรือแม้แต่ในเม็กซิโกอันเป็นถิ่นกำเนิดของซ่อนกลิ่นเอง ก็ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจสาวซึ่งมีดอกซ่อนกลิ่นปักอยู่ที่ผม และมักจะใช้ความหอมพร้อมการแปลงกายมาหลอกหลอนชายหนุ่มอยู่ตามริมทะเล 

    ในทางกลับกัน ในอินเดียและบังคลาเทศ ซ่อนกลิ่นถือเป็นดอกไม้มงคลซึ่งนิยมนำมาทำเป็นมาลัยคล้องคอบ่าวสาว รวมทั้งยังมีการนำดอกซ่อนกลิ่นมาใช้ตกแต่งรถ ห้องนอน หรือแม้กระทั่งโรยบนเตียงของคู่สมรส เฉกเช่นเดียวกับชาวฮาวาย ซึ่งจะใช้ดอกซ่อนกลิ่นมาทำเป็นมงกุฎดอกไม้ให้คู่รักสวมในพิธีวิวาห์ โดยช่อดอกไม้หรือมาลัยดอกซ่อนกลิ่นนั้นจะถูกใช้เป็นตัวแทนของความสุขสดชื่นและความปรารถนาดี เชื่อกันว่ากลิ่นหอมที่รุนแรงเร่งเร้านั้นจะสร้างความหวานชื่นให้แก่คู่รักอีกด้วย ซ่อนกลิ่นจึงกลายเป็นดอกไม้ซึ่งมีหลายบทบาทในหลากวัฒนธรรม ขึ้นอยู่กับความเชื่อแต่ละพื้นถิ่น

Anecdote

    ว่ากันว่า ในราวยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งซ่อนกลิ่นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรปนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงหลงใหลในดอกซ่อนกลิ่นเป็นอย่างยิ่ง จนถึงขั้นทรงสั่งให้นำดอกซ่อนกลิ่นจำนวน 10,000 ดอก เข้าไปปลูกไว้ในพระตำหนัก Grand Trianon ซึ่งอยู่ในพระราชวังแวร์ซายส์เลยทีเดียว ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 จึงเริ่มมีการนำกลิ่นหอมของซ่อนกลิ่นไปใช้ในการผลิตน้ำหอมอย่างกว้างขวาง โดยบางข้อมูลเชื่อว่า พระนางมารีอังตัวแน็ตต์ เป็นบุคคลแรกที่เริ่มใช้ความหอมนี้มาทำเป็นเครื่องประทินโฉม โดยเรียกน้ำหอมกลิ่นนี้ว่า Sillage de la Reine หรือ Parfum de Trianon ซึ่งมีส่วนผสมของซ่อนกลิ่น มะลิ แซนดัลวู้ด ซีดาร์ ไอริส และดอกส้มเป็นส่วนผสมหลัก ว่ากันว่านี่คือกลิ่นหอมซึ่งพระองค์ทรงให้นักปรุงน้ำหอมผลิตขึ้นเพื่อจำลองกลิ่นที่จะทำให้ทรงรำลึกถึงพระตำหนัก Trianon ของพระองค์นั่นเอง

Basic Facts

Scientific Name: Polianthes tuberosa
Family: Amaryllidacecae
Colors: ขาว
Seasons: ตลอดทั้งปี
Length of time to grow: 80 - 100 วัน (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และความสมบูรณ์ของหัว) ใช้หัวหรือเหง้าในการปลูก

Reference