ข้ามทะเลและขุนเขา ท่องอดีตไปกับดอกจำปา
“…วัฒนธรรมต่าง ๆ นี้ ได้กลายเป็นชีวิต เป็นเลือดเนื้อของชาวไทยไปเสียแล้ว…
เรามีเลือดมีเนื้อเป็นอินเดีย มีศาสนาฮินดูเป็นแม่ มีศาสนาพุทธเป็นพ่ออยู่โดยไม่รู้สึกตัว…”
-พุทธทาสภิกขุ
ไม่เพียงแค่วัฒนธรรม ศาสนา และประเพณี ที่ชาวไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เนื่องจากติดต่อค้าขายกันมาตั้งแต่โบราณกาล หากชาวอินเดียยังได้นำพันธุ์ไม้อีกหลากหลายติดตัวเข้ามาในสยามประเทศ และนั่นรวมถึงต้น ‘จำปา’ หนึ่งในไม้มงคลสูงสุดของอินเดีย และ ‘พระยาแห่งดอกไม้’ ของชาวไทย
ด้วยเรื่องราวความเชื่อทางพุทธศาสนาซึ่งบัญญัติเอาไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 ความว่า ‘พระพุทธเจ้าองค์ที่ 17 พระนามว่าพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 8 เดือนเต็ม จึงได้ประทับตรัสรู้ ณ ควงไม้จำปาป่า…’ รวมถึงคำทำนายว่าหนึ่งในพระพุทธเจ้าสิบพระองค์ซึ่งจะตรัสรู้ในอนาคตนั้น มีหนึ่งองค์ซึ่งทรงพระนามว่าพระเทวเทพสัมพุทธเจ้า ก็จะทรงตรัสรู้ใต้ต้นจำปาอีกเช่นกัน ทำให้บรรดาผู้นับถือศาสนาฮินดูและพุทธในอินเดียนับถือต้นจำปาเป็นไม้มงคล อีกทั้งยังจัดให้มีความศักดิ์สิทธิ์ในระดับสูงสุดดุจเดียวกับต้นโพธิ์หรือต้นไทร จึงมักนำไปปลูกกันไว้ตามสถานที่ที่ควรแก่การนับถือ รวมถึงเป็นไม้ที่ผู้คนจะให้ความเคารพ ไม่หักกิ่งก้าน อีกทั้งยังนิยมนำไปใช้ในบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้า เมื่อชาวอินเดียเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายในประเทศไทย จึงไม่น่าประหลาดใจที่จะนำคติความเชื่อดังกล่าวติดตัวมาด้วย

แรกเริ่มนั้น ต้นจำปาเป็นที่รู้จักกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงของราชสำนักสยาม แม้ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์บันทึกเอาไว้ ว่าจำปาและความเชื่อดังกล่าวเข้ามาในบ้านเราตั้งแต่เมื่อไหร่ หากในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเลย์ ก็บันทึกเกี่ยวกับดอกจำปา ความว่า
‘…ครั้นอยู่มา นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ เสด็จไปประพาสเล่น ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา หอข้างพระหน้า ทอดพระเนตรเห็นพันบุตรศรีเทพผู้เฝ้าหอพระ ก็มีความเสน่หารักใคร่พันบุตรศรีเทพ จึงสั่งสาวใช้ให้เอาเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้าไปพระราชทานพันบุตรศรีเทพ พันบุตรศรีเทพรับแล้ว ก็รู้พระอัชฌาสัยว่า นางพระยามีพระทัยยินดีรักใคร่ พันบุตรศรีเทพจึงเอาดอกจำปาส่งให้สาวใช้ ให้เอาไปถวายแก่นางพระยา นางพระยาก็ยิ่งมีความกำหนัดในพันบุตรศรีเทพเป็นอันมาก…’
หากใครยังพอจำได้ ความข้างต้นนี้ได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นหนึ่งในฉากของภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวคือยุคของสมเด็จพระไชยราชาธิราช นั่นแสดงว่าต้นจำปาในราชสำนักสยามต้องมีความเก่าแก่และเข้ามาก่อนหน้านั้น
บันทึกในสมัยอยุธยาตอนปลาย ยังแสดงให้เห็นถึงลำดับความสำคัญของดอกจำปาว่าเป็นดอกไม้ชั้นสูง ซึ่งใช้ในการแสดงความเคารพเพื่อต้อนรับอาคันตุกะสำคัญจากต่างประเทศ ดังมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุคณะทูตลังกา คราวเดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พ.ศ. 2294 ความว่า ‘…เมื่อคณะทูตเข้าพักในศาลาลูกขุน บริเวณพระบรมมหาราชวัง และเจ้าพนักงานฝ่ายไทยได้นำดอกสะปุมาให้ตามประเพณี…’ สันนิษฐานกันว่าบรรดาทูตลังกาอาจไม่รู้ชื่อเรียกของดอกไม้ไทย จึงได้บันทึกชื่อดอกไม้เอาไว้เป็นภาษาของตน แต่เมื่อมีผู้รู้ค้นลึกลงไป ก็พบว่า ดอกสะปุ (Sapu) ในภาษาสิงหลที่บันทึกเอาไว้ แท้จริงแล้วคือดอกจำปา
เมื่อเข้ามาในสยาม จำปาไม่ได้เป็นเพียงแค่ไม้ประดับที่มีกลิ่นหอมชื่นใจอยู่ในสวน หากยังเป็นดอกไม้ที่มีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมของราชสำนักสยาม โดยความเชื่อในเรื่องมงคลของดอกจำปา ยืนยันตัวตนเป็นรูปธรรมจากพวงดอกจำปาทองคำเก่าแก่ซึ่งเรียงร้อยต่อกันเป็นอุบะ ใช้แขวนประดับเพดานและมณฑปพระกระยาสนาน (ที่สำหรับสรงน้ำ) ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมถึงใช้แขวนประดับพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรซึ่งถือเป็นของสูงในราชสำนักไทย ซึ่งจัดแสดงไว้ในศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ ในพระบรมมหาราชวัง นอกจากนั้น ข้าราชบริพารชาวสยามยังนิยมกรองจำปาแล้วนำไปตกแต่งมณฑลพิธีในราชสำนัก อีกทั้งนำมาใช้ประดับชฎาของตัวพระและตัวนางในการแสดงโขนหรือนาฏศิลป์ไทยอีกหลายแขนง
ในระดับชาวบ้านทั่วไป นิยมนำจำปามาห้อยผม ทัดหู หรือร้อยเป็นมาลัย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลพลอยได้มาจากวัฒนธรรมของชาวอินเดียโบราณอีกเช่นกัน ผู้คนในยุคก่อนนั้นยังนำดอกจำปามาอบผ้าให้มีกลิ่นหอม อีกทั้งยังนำมาใช้เปรียบเปรยกับสีของวัตถุต่าง ๆ อย่างผ้าสีดอกจำปา หรือขนุนจำปา ซึ่งมีลักษณะสีเหลืองอมส้ม คนโบราณยังเชื่อว่าจำปาเป็นไม้เสี่ยงทาย หากผู้ใดปลูกแล้วงอกงามผลิดอกออกใบเติบโตเป็นอย่างดี ผู้นั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองเปี่ยมไปด้วยโชคลาภ แต่หากต้นจำปาที่ปลูกเหี่ยวเฉาคล้ายจะตาย เชื่อกันว่าผู้ปลูกจะอายุสั้นหรือหมดสิ้นวาสนาลงในไม่นาน
จำปายังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรซึ่งสามารถบรรเทาอาการได้ตั้งแต่ปวดหัวจนถึงหนองใน รวมถึงเป็นยาบำรุงหัวใจและประสาท เนื้อไม้ยังสามารถนำไปใช้ในงานก่อสร้าง ตั้งแต่ทำเป็นของเล่นเด็กไปจนถึงโลงศพ และเพราะความที่เป็นดอกไม้ชั้นสูงซึ่งเชื่อกันว่าจะนำพาสิริมงคลมาให้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยประโยชน์เหลือคณา ในสมัยอยุธยาจำปาจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘พระยาแห่งดอกไม้’ ที่มีอิทธิพลกับชีวิตของคนไทยตั้งแต่เด็กจนวาระสุดท้ายของชีวิต
นอกจากประโยชน์ทั้งหมดที่กล่าวมา ในสมัยนี้ ต้นจำปาและจำปียังมีประโยชน์ในแง่ของการเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ นับเป็นไม้ยืนต้นในหมวดไม้ดอกไม้ประดับเพียงสกุลเดียวที่ได้รับการยอมรับถึงความมีมูลค่าอย่างเป็นทางการขนาดนี้ อีกทั้งหัวน้ำหอมที่สกัดจากดอกจำปานั้น ยังนับเป็นหนึ่งในหัวน้ำหอมที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยน้ำหอมที่ถือว่ามีเอกลักษณ์ของดอกจำปาซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับกันมากที่สุดคือน้ำหอม ‘JOY’ ซึ่งครองใจคนรักน้ำหอมทั่วโลกมาแล้วเนิ่นนาน
ปัจจุบันความนิยมในการปลูกจำปาค่อย ๆ สร่างซาลงไป เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าจำปานั้นมีคำพ้องที่ชวนให้นึกถึงการขว้างปา อันกินความหมายถึงการละทิ้ง ผู้คนจึงหันไปนิยมใช้ดอกจำปีซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากกว่า พระยาดอกไม้ที่ทรงคุณค่าในสมัยอยุธยา เมื่อเวลาล่วงผ่านมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ จึงกลายเป็นดอกไม้ซึ่งหลายคนเชื่อว่าไม่เป็นมงคลอีกต่อไป ฤาจำปาจะกลายเป็นอีกหนึ่งเหยื่อโชคร้ายที่ถูกกลืนกินด้วยความเชื่อ และค่อย ๆ เลือนหายไป คล้ายกับดอกไม้อีกหลายดอกในบ้านเรา?
Sudsaijai