หยาดน้ำตาของดวงดาวกับความเศร้าหลากเวอร์ชั่น
‘ดอกคัตเตอร์’ หรือที่บางคนรู้จักในชื่อ ‘ดอกแอสเตอร์’ คือไม้ดอกเล็กจ้อยซึ่งมักต้องเสียสละตัวเองเป็นเครื่องประดับ เพื่อขับเน้นให้ดอกไม้ร่วมช่อโดดเด่นขึ้นมา และแม้จะไม่ได้เป็นดอกไม้ขวัญใจช่างภาพเหมือนกุหลาบหรือลิลลี่ คัตเตอร์ก็มีความน่ารักเฉพาะตัว และมาพร้อมตำนานการถือกำเนิดที่หลากหลาย
ตำนานการเกิดดอกคัตเตอร์ที่เราหยิบมาเล่าให้คุณฟังเรื่องแรก คือตำนานของอินเดียนแดงเผ่าเชอโรกี ว่ากันว่าในยุคโบราณที่ยังมีการสู้รบเพื่อแย่งชิงดินแดนทำกินและพื้นที่ล่าสัตว์กันอยู่ เกิดสงครามระหว่างสองชนเผ่าที่ประหัตประหารกันไม่รามือ เผ่าหนึ่งถือโอกาสยกพวกไปบุกหมู่บ้านและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฝ่ายศัตรูจนหมดสิ้น เหลือเพียงเด็กหญิงสองพี่น้องซึ่งเข้าไปในป่าก่อนจะเกิดสงครามเท่านั้นที่รอดชีวิต…
เมื่อเด็กหญิงสองพี่น้องกลับมายังหมู่บ้านและพบข่าวร้าย จึงตัดสินใจหนีก่อนศัตรูจะกลับเข้ามายังหมู่บ้านอีกครั้ง พวกเธอมุ่งหน้าไปยังภูเขาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เพื่อตามหาแม่หมอผู้มีความสามารถในการปรุงสมุนไพร ด้วยความหวังอยากช่วยคนในหมู่บ้าน เพราะมีเสียงเล่าขานกันว่าแม่หมอผู้นี้ได้รับพรวิเศษในการปรุงยาจากเหล่าเทพเจ้า
หากเมื่อเด็กสาวมาถึงจุดหมาย พวกเธอกลับไม่พบผู้ใด ด้วยความเหนื่อยล้าจึงเผลอหลับไปบนพื้นหญ้า… แม่หมอกลับมาเห็นสาวน้อยทั้งสอง และพลันมองเห็นเรื่องราวในอนาคต ว่าเด็กหญิงอาจถึงถูกตามล่าหมายหัวโดยศัตรูกลุ่มเดิมและถึงฆาต เธอจึงตัดสินใจช่วยชีวิตทั้งสอง เธอนำยาวิเศษหยดลงไปบนตัวเด็กสาวซึ่งกำลังหลับใหลไม่ได้สติ จากนั้นจึงนำใบไม้มาคลุมซ่อนทั้งคู่ไว้มิด…
เมื่อแสงแรกแห่งเช้าวันใหม่สาดส่องมาถึง ร่างของสาวน้อยคนหนึ่งกลายเป็นดอกไม้มีกลีบเป็นแฉกเล็กๆ คล้ายดวงดาวสีฟ้าตามชุดที่เธอสวมใส่ เด็กหญิงกลายเป็นดอกคัตเตอร์สีฟ้า ในขณะที่เด็กสาวอีกคนกลายเป็นดอกสร้อยทองสีเหลืองสดใสเฉกเดียวกับเสื้อผ้าที่เธอสวมไว้เช่นกัน ตั้งแต่นั้นมามนุษย์จึงมีโอกาสได้ชมความน่ารักของดอกคัตเตอร์สีฟ้า และดอกสร้อยทองซึ่งเป็นพืชตระกูลคัตเตอร์
ข้ามฟากมายังฝั่งเจ้าของตำนานการเกิดของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้อย่างกรีกและโรมัน ฝั่งโรมันเชื่อกันว่า หลังจากเทพจูปิเตอร์บันดาลให้น้ำท่วมโลก เพื่อชะล้างอาวุธที่ทำจากโลหะที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเพื่อเข่นฆ่ากัน Astraea เทพีแห่งความบริสุทธิ์และยุติธรรมก็หลั่งน้ำตาด้วยความสงสารมวลมนุษย์ หยาดน้ำตาของ Astraea จึงเกิดเป็นดอกแอสเตอร์หรือคัตเตอร์นั่นเอง
ส่วนในฝั่งกรีกเล่าว่า เมื่อคราวที่กล่องแพนโดราถูกเปิด และความชั่วร้ายทั้งหลายได้หลุดรอดออกมาในโลกต่างหาก เทพี Astraea จึงร่ำไห้ และให้กำเนิดดอกคัตเตอร์จากหยาดน้ำตา แต่กรีกก็ยังมีเรื่องเล่าอีกแบบว่า เมื่อพระนางมองลงมาจากฟากฟ้า แล้วพบว่าในโลกไม่มีดวงดาว พระองค์จึงร้องไห้ด้วยความสงสารมนุษย์ที่ไร้ซึ่งแสงสว่างจากดวงดาวให้ชื่นชม และหยาดน้ำตาอันพร่างพรมจากฟ้า ก็กลายมาเป็นตัวแทนดาวดวงเล็ก ๆ บนผืนดินอย่างดอกคัตเตอร์
ยังมีตำนานกำเนิดดอกคัตเตอร์อีกหลากหลาย แต่ก็ล้วนเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้ต้องถอนหายใจเมื่ออ่านถึงตอนจบ แม้คัตเตอร์จะเป็นดวงดาวบนพื้นดินที่หลายคนมองข้ามไป แต่เราเชื่อว่ายังมีผู้คนอีกมากมายซึ่งหลงใหลไม้ดอกกะจิริดดอกนี้ ครั้งหน้าเมื่อมองดูช่อดอกไม้ เราหวังเพียงคุณจะรู้สึกว่าคัตเตอร์นั้นเปี่ยมความหมายมากกว่าที่เคย
Sudsaijai