Photo by Kenzo TRIBOUILLARD / AFP
ตลาดดอกไม้ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ
มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งที่คนนิยมยกขึ้นมากล่าวถึงยามต้องการบอกใครสักคนว่า เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
‘When you have only two pennies left in the world, buy a loaf of bread with one, and a lily with the other.’
‘ถ้าชีวิตนี้คุณมีเงินเหลืออยู่สองเหรียญแล้วล่ะก็ เหรียญหนึ่งเอาไปซื้อขนมปังมาสักแถว ขณะที่อีกเหรียญที่เหลือจงใช้มันซื้อดอกลิลลี่เสีย’
ผู้คนต่างบอกว่านอกจากความต้องการเพื่อท้องอิ่มแล้ว สิ่งที่ทำให้คนเรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็คือความรู้สึกชุบชูใจในทางใดทางหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์โลก, ดอกไม้เคยเป็นสิ่งแสดงถึงฐานะของผู้คนในยุคสมัยหนึ่ง มีแต่ชนชั้นสูงชาววิคตอเรียนเท่านั้นที่สามารถใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปกับการปลูกดอกไม้นอกฤดูกาลไว้ในเรือนกระจก ก็ในเมื่อมีเหรียญทองอยู่เต็มกระเป๋าเสียแล้วจะซื้อโรงงานขนมปัง หรือสวนดอกลิลลี่ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ต้องขบคิดให้เสียเวลา
1.
มีเรื่องเล่าที่คนศึกษาเศรษฐศาสตร์ทุกคนรู้จักกันดีอยู่เรื่องหนึ่ง พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงปี 1636 – 1637 ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่รู้จักกันในชื่อ วิกฤตการณ์ดอกทิวลิป (Tulip Mania)
ดอกทิวลิปแสนสวยที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบันนี้ถูกนำเข้ามาในทวีปยุโรปราวกลางศตวรรษที่ 16 ก่อนจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ มีการผสมทิวลิปสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ความต้องการในตลาดทะยานสูงยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อมีอุปสงค์ย่อมมีอุปทาน, ติดที่อุปสรรคเดียวก็คือการขยายพันธุ์ดอกทิวลิปที่เร็วที่สุดในสมัยนั้นจำเป็นต้องใช้ ‘หัว’ ทั้งยังต้องรอเป็นปีกว่าจะได้เชยชมดอกสมใจ
ผู้คนที่เล็งเห็นช่องทางในการทำกำไรในตลาดจึงใช้วิธีการทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อซื้อหัวทิวลิป ภายหลังสัญญาเหล่านั้นถูกซื้อขายต่อกันเป็นทอด ๆ จนว่ากันว่าทำให้ราคาดอกทิวลิปต่อหนึ่งหัวสูงกว่าเงินเดือนของแรงงานทั่วไปถึงสิบปี หรืออาจจะมากกว่าราคาของบ้านดี ๆ หลังหนึ่ง จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ปี 1637 ตลาดทิวลิปที่เคยเฟื่องฟูก็ล่มสลายลง เมื่อผู้คนเริ่มตระหนักถึงราคาที่แพงจนเกินกว่าเหตุของการซื้อขายดอกไม้เพียงดอกเดียว เริ่มจากสัญญาหนึ่งฉบับที่ไม่สามารถทำเงินในระดับเดิมอีกต่อไป หลังจากนั้นผู้คนที่วิตกกังวลก็เริ่มเทขายสัญญาราคาถูกในคราวเดียวเพื่อป้องกันความเสียหาย สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตระหนกในวงการค้าขายดอกทิวลิป ฉุดให้ราคาดอกไม้ดิ่งลงจากยอดผาสูงสู่ก้นเหวในชั่วข้ามคืน ผู้คนที่ซื้อสัญญามาในราคาสูงเพื่อเก็งกำไรทว่าไม่สามารถขายสัญญาทิ้งได้ทันการล้วนสิ้นเนื้อประดาตัว
นักเศรษฐศาสตร์ยุคเก่าเรียกเหตุการณ์นี้ว่าวิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกครั้งแรกของโลก
แม้ภายหลังจะมีนักวิชาการที่ทำการศึกษาเหตุการณ์ครั้งนี้ออกมาชี้แจงว่า วิกฤตการณ์ดอกทิวลิป (Tulip Mania) แท้จริงแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างถึงขนาดนั้น เป็นเพียงเหตุการณ์ความผันผวนทางราคาที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มเล็ก ๆ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหตุการณ์นี้กำลังให้บทเรียนกับเราว่า
…ถ้าชีวิตนี้คุณมีเงินเหลืออยู่สองเหรียญแล้วล่ะก็ อย่าได้เอาทั้งสองเหรียญไปซื้อดอกไม้จนหมดทีเดียวเชียว
2.
หลังจากที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลงมติกินเวลากว่าสามปีครึ่ง ในที่สุดความพยายามลาออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อข้อตกลง Brexit ก็บรรลุวัตถุประสงค์เป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนมกราคม 2020 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้กำลังจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งทางฝั่งสหราชอาณาจักร และคู่ค้าต่างกังวล ตลอดจนต้องเตรียมตัวรับมือกับความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ดีหลังจากที่ ‘ช่วงเปลี่ยนผ่าน’ จะสิ้นสุด และอังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเด็ดขาดหลังจากผ่านพ้นสิ้นปีนี้ไป
หากว่าในระยะเวลาที่เหลือนี้อังกฤษไม่สามารถหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกับทางสหภาพได้ อังกฤษจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกโดยปราศจากข้อตกลงทางการค้าหรือแบบ ‘No-Deal Brexit’
ซึ่งนั่นน่าจะเป็นฝันร้ายของหลายแวดวงธุรกิจ
หนึ่งในธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการนำเข้า-ส่งออกดอกไม้สด เมื่อพรมแดนที่เคยสามารถข้ามได้อย่างอิสระด้วยข้อตกลงทางการค้าต้องมาเปลี่ยนแปลงไป คู่ค้ารายใหญ่อันดับหนึ่งอย่างเนเธอร์แลนด์ก็จำต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนพิธีการทางศุลกากรที่ยุ่งยากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทำไมตลาดดอกไม้ถึงมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบสูง?
คำตอบก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อังกฤษคือหนึ่งในประเทศห้าลำดับแรกที่นำเข้าดอกไม้สดมากที่สุดในโลก
ข้อจำกัดของการค้าขายดอกไม้สดอยู่ที่เงื่อนไขของเวลา การออกจากสหภาพยุโรปในครั้งนี้นอกจากจะทำให้ต้นทุนของราคาดอกไม้พุ่งสูงขึ้น ยังทำให้การขนส่งข้ามพรมแดนต้องใช้เวลามากขึ้นอีกด้วย
ผู้ที่จะได้รับผลกระทบในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ชาวสหราชอาณาจักร หรือเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตลาดประมูลดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดของโลกเท่านั้น หากแต่ประเทศต้นทางที่ปลูกดอกไม้ก็ถูกหางเลขไปด้วยเช่นกัน อย่างเช่นประเทศเคนยาที่ส่งออกดอกไม้โดยมีปลายทางเป็นประเทศอังกฤษถึง 18% ของผลผลิตมวลรวมทั้งหมด
น่าสนใจเหลือเกินว่าเมื่อประชาชนชาวอังกฤษต้องรับมือกับราคาสินค้าที่อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังประเทศออกจากสหภาพเต็มตัว ถ้าเหลือเงินในมือสองเหรียญ ระหว่างขนมปังกับดอกไม้ พวกเขาจะเลือกใช้จ่ายอย่างไร
3.
ในปี 2019 ที่ผ่านมา เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ส่งออกดอกไม้รายใหญ่ที่สุดของโลก ทำเงินจากการส่งออกดอกไม้ทั้งหมดสูงถึง 3.97 พันล้านยูโร เพียงพริบตาเดียวเมื่อโลกต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด Covid-19 ทุกอย่างก็แทบสูญสลายหายไปกับตา
การเกิดขึ้นอย่างฉับพลันของวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่กระทบกับธุรกิจท่องเที่ยว-การเดินทาง เมื่อผู้คนต่างเก็บตัวอยู่กับบ้าน ไม่จัดงานแต่งงาน ไม่จัดงานเฉลิมฉลอง ไม่ออกไปพบปะแสดงความยินดีกับคนอื่นในวาระสำคัญ-ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่พวกเขาเหล่านั้นจะต้องซื้อดอกไม้
แต่ดอกไม้เป็นผลผลิตที่แตกต่างจากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป, เล่าโดยย่อ ระบบการค้าขายดอกไม้ในประเทศเนเธอแลนด์นั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากที่อื่นอยู่บ้าง พวกเขามีตลาดกลางที่ใช้ซื้อ-ขายดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกชื่อว่า ตลาดอัลซเมียร์ (Aalsmeer) ดอกไม้จากทั่วโลกจะถูกส่งมาตรวจสอบคุณภาพที่ตลาดแห่งนี้ก่อนจะเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้เข้าร่วมประมูลด้วยการตั้งต้นที่ราคาสูงที่สุดก่อนจะลดราคาลงมาเรื่อย ๆ ผู้ที่ตอบรับราคาสูงที่สุดจะได้ดอกไม้เหล่านั้นไป นั่นหมายความว่าเหล่าเกษตรกรจำเป็นต้องลงทุนลงแรงปลูกดอกไม้เหล่านี้ล่วงหน้า เพื่อให้ทันการประมูลในแต่ละรอบ ดังนั้นต้นอ่อนที่ลงดินไปแล้วก็หมายถึงเงินที่ถูกควักออกจากกระเป๋าอย่างไม่อาจเอากลับ เพราะพวกเขาไม่สามารถหยุดเครื่องจักรการผลิตได้เหมือนอุตสาหกรรมอื่น
เมื่อไม่มีผู้ซื้อ, ทางแก้ปัญหาเดียวที่ผู้ขายทำได้ก็คือกำจัดดอกไม้แสนสวยเหล่านั้นทิ้งไปเสีย
Royal Flora Holland บริษัทสัญชาติดัตช์ซึ่งถือครองสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์เปิดเผยว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โรคระบาดขึ้น ผลประกอบการรายสัปดาห์ก็ลดฮวบลงราว 60 – 70% จากปกติ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากถึงกว่า 2 พันล้านยูโร
หรือพูดง่าย ๆ ว่าดอกไม้ราว 6 – 7 ส่วนที่ผลิตออกมาต้องถูกนำเข้าเครื่องทำลายทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
มีดอกไม้เป็นล้าน ๆ ดอกต่อวันที่ไม่มีโอกาสส่งถึงมือผู้รับ จนทางผู้ผลิตถึงกับต้องออกแคมเปญทางการตลาดอย่างหนักหน่วง รวมไปถึงการกระตุ้นให้ผู้คนส่งดอกไม้เป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล
เช่นเดียวกับ Brexit, วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลแค่กับเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตัวกลางในฐานะตลาดประมูลเท่านั้น สเปน โคลัมเบีย เอกวาดอร์ แอฟริกาใต้ แม้กระทั่งไทยเองซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกดอกไม้รายสำคัญต่างก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาในแต่ละครั้งกำลังบอกเราว่า การตัดสินใจใช้เงินในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตบางครั้งก็จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ การอดใจไม่ซื้อดอกไม้ในวันที่เราไม่พร้อมไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถซื้อดอกไม้ได้อีกเลยตลอดชีวิต
แน่นอนว่าถ้าตอนนี้คุณมีเงินเหลืออยู่สองเหรียญแล้วล่ะก็ ไม่ว่าเหรียญหนึ่งในนั้นคุณจะใช้ซื้อขนมปัง หรือดอกไม้
อย่าลืมเก็บอีกหนึ่งเหรียญเอาไว้ซื้อเจลล้างมือด้วยก็แล้วกัน
Numploy