ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน บริสุทธิ์กล้าหาญ จะบานในใจ
เพราะกุหลาบขาวดอกนั้น นกม็อกกิ้งเจย์จึงโผบิน
ในขณะที่ท้องหิว, ผู้คนอาจปรารถนาเพียงข้าวสักชาม ขนมปังสักก้อนเพื่อเติมเต็มกระเพาะที่ว่างเปล่า จวบจนเมื่อท้องอิ่มพวกเขาจึงเริ่มแสวงหาอำนาจ แสวงหาตำแหน่งแห่งหนที่จะเติมห้องเก็บของในบ้านด้วยข้าวจากยุ้งฉางของผู้อื่น ด้วยเนื้อสัตว์จากฟาร์มของผู้อื่น ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารจากหยาดเหงื่อแรงงานของผู้อื่น โดยที่ไม่ต้องควักเหรียญทองสักเหรียญ
แน่นอน, พวกเขาไม่ใคร่จะสนใจสักเท่าไหร่ ว่าการเติมเต็มห้องหับอันว่างเปล่าด้วยสิ่งของเหล่านี้ ต้องแลกมาด้วยความอดอยากหิวโหยของใครบ้าง ตราบใดที่ ‘อำนาจ’ ในกำมือยังสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับเขาและพวกพ้องอิ่มท้องได้
สิ่งเหล่านี้คือความบัดซบทางการเมืองที่ ซูซาน คอลลินส์ (Suzanne Collins) ถ่ายทอดออกมาในนิยายไตรภาคว่าด้วยโลกดิสโทเปียที่ปกครองโดยกลุ่มชนชั้นสูงผู้เพลิดเพลินไปกับการมองดูคนอีกชนชั้นคร่าชีวิตกันและกันเพื่อความอยู่รอด, The Hunger Games
เล่าโดยย่อ The Hunger Games เป็นเรื่องราวของโลกที่แบ่งผู้คนออกเป็นทั้งหมด 13 เขตตามอาชีพที่ได้รับมอบหมาย โดยมีแคปปิตอลทำหน้าที่ดูแลปกครองผู้คนทั้งหมดด้วยระบบที่เอื้อต่อชนชั้นสูง และกดขี่ผู้ซึ่งอ่อนแอกว่า จนกระทั่งเขต 13 ซึ่งยากจนที่สุดในพาเน็มได้ลุกขึ้นมาปฏิวัติ ทว่าก็ถูกแคปปิตอลที่ไหวตัวทันทำลายทิ้งจนไม่เหลือซาก หลังจากนั้นแคปปิตอลจึงได้ริเริ่มจัดการแข่งขันเกมล่าชีวิต (Tributes) หรือรายการที่บังคับให้แต่ละเขตต้องส่งตัวแทนเข้ามาต่อสู้กันจนกว่าจะเหลือผู้อยู่รอดเพียงหนึ่งเดียว
เกมนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องบันเทิงใจที่ใช้พนันขันต่อกันในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ย้ำเตือนให้ทั้ง 12 เขตที่เหลืออย่าได้คิดกำแหง หรือคิดจะลุกขึ้นมา ‘งัดข้อ’ กับแคปปิตอลเช่นเดียวกับเขต 13 ในอดีต
แต่โลกก็เป็นเช่นนี้, ลูกโป่งที่ถูกบีบคั้นนานเข้ายังมีวันแตก นับประสาอะไรกับคนที่ถูกความอยุติธรรมกดขี่จนไม่เหลือทางถอย
เมื่อมีหนึ่งคนที่กล้าลุกขึ้น แม้ดอกไม้ดอกเดียวจะไม่อาจต้านแรงพายุที่โถมกระหน่ำได้ แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าหลังพายุพัดผ่านไป มีฟ้าใส และดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้ารออยู่ แม้ความกล้าหาญมีราคาที่ต้องจ่ายแต่พวกเขาก็ยินดีจ่าย เพราะรู้ว่าเมล็ดพันธุ์เบื้องหลังจะมีโอกาสที่ดีกว่าที่จะได้หยั่งราก เบ่งบานรับแสงของวันใหม่
The Hunger Games เป็นนิยายที่เลือกใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ มาสอดแทรกลงไปในเรื่องราวได้อย่างชาญฉลาด กระทั่งกลายมาเป็นสัญญะที่ผู้คนใช้แสดงจุดยืนทางการเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการชูสามนิ้ว หรือรูปภาพของนกม็อกกิ้งเจย์ (Mockingjay) สัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติ
แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ได้สังเกตก็คือซูซานยังได้หยิบเอาภาษาของดอกไม้มาเป็นหนึ่งในกิมมิคของการเล่าเรื่อง
ดอกไม้ที่เราเห็นบ่อยที่สุดในภาพยนตร์ทุกภาคนั้นเห็นจะไม่พ้นกุหลาบขาวของประธานาธิบดีสโนว์ กุหลาบดอกนี้ไม่ใช่กุหลาบธรรมดาหากแต่เป็นดอกไม้ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมจนมีกลิ่นหอมแรง ซึ่งสโนว์ใช้เพื่อกลบกลิ่นเลือดภายในปากของตัวเอง เนื่องจากในยามเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเขาได้วางยาพิษเพื่อกำจัดคู่แข่งจนหมด ทั้งยังโหดเหี้ยมพอที่จะดื่มยาพิษเข้าไปด้วยเพื่อให้คนเหล่านั้นตายใจ แม้จะดื่มยาแก้พิษเอาไว้อยู่แล้วแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ยังทิ้งบาดแผลติดตัวชายผู้นี้ไปจนวันตาย
ซูซานได้อธิบายเอาไว้ว่า ความหมายของดอกกุหลาบในโลกแห่งความจริงอาจหมายถึง ความรัก และความงาม แต่เธอก็ได้ใช้ความหมายเดียวกันนี้เสียดสีกลับไปยังประธานาธิบดีแห่งแคปปิตอล ผู้ซึ่งในใจไร้สิ้นไม่ว่าจะความงาม หรือความรัก ดอกกุหลาบในที่นี้จึงเป็นตัวแทนของอำนาจ และการได้มาซึ่งอำนาจในวิถีทางที่ไม่สนใจว่าต้องเหยียบย่ำกองเลือดของใคร
ตรงกันข้ามกับดอกแดนดิไลออนที่เกี่ยวพันกับฝั่งตัวเอกอย่าง แคตนิส เอฟเวอร์ดีน, เด็กสาวหัวขบถผู้จุดไฟให้กับการเปลี่ยนแปลงในโลกอันบิดเบี้ยวนี้ ภาษาดอกไม้ของดอกแดนดิไลออนคือ ความหวัง ความสุข และความสดใส เพราะผู้คนนิยมอธิษฐานขอพรก่อนจะเป่าเกสรปุยขาวให้ปลิวไปตามลมด้วยความเชื่อว่าจะทำให้สมปรารถนา
ดอกแดนดิไลออนยังใช้กินประทังความหิวได้ในยามที่พวกเธอไม่เหลือแม้แต่อาหารติดบ้าน ทั้งสีเหลืองของทุ่งดอกไม้ที่คลี่บานสุดลูกหูลูกตาใน The Hunger Games ยังเป็นตัวแทนของความหวัง และการเริ่มต้นชีวิตใหม่
ดอกไม้ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในโลกแห่งความจริงเช่นกัน
ปี 1956 ประเทศจีนที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์โดยมีเหมาเจ๋อตุงเป็นผู้นำ ได้ออกแคมเปญที่ค่อนข้างช็อกสังคมจีนในสมัยนั้นพอดู แคมเปญนั้นมีชื่อว่า ร้อยบุปผา (Hundred Flowers) หรือก็คือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาชั้นปัญญาชนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นต่อปัญหาบ้านเมืองได้อย่างอิสระเสรี เหมือนดั่งดอกไม้นับร้อยที่เบ่งบานออกพร้อม ๆ กัน
มีผู้ตีความจุดประสงค์ของประธานเหมาไปในหลายทิศทาง บ้างก็ว่าทางพรรคคอมมิวนิสต์ต้องการรับฟังปัญหาจากประชาชนจากใจจริงเพื่อนำไปพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น แต่บางส่วนคิดว่านี่คือกลเกมทางการเมืองที่เหมาเจ๋อตุงใช้ล่อผู้ต่อต้านอุดมการณ์ของพรรคออกมา เพื่อที่พรรคจะได้กำจัดคนที่มีความคิดต่างให้สิ้นซากในคราวเดียว
อย่างไรก็ตาม เหมาเจ๋อตุงไม่คิดว่าดอกไม้ที่เขาเปิดโอกาสให้เบ่งบานจะพากันสะพรั่งทั่วทั้งแผ่นดินอย่างไม่อาจควบคุมได้ในท้ายที่สุด พลังมวลชนทั้งฝั่งนักศึกษาและประชาชนทั่วไป ต่างพากันลุกขึ้นมาชุมนุมประท้วง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำ มาตรฐานค่าครองชีพ ไปจนถึงการคอร์รัปชั่นของพรรคการเมือง ผ่านบทความ โปสเตอร์ และงานเสวนา
ผลลัพธ์ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนสร้างความไม่สบายใจให้กับประธานเหมา ถึงกับออกคำสั่งให้หยุดแคมเปญ ทั้งยังจับผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทิศทางตรงกันข้ามกับพรรคเข้าคุก หรือเนรเทศไปใช้แรงงาน จนเหล่านักคิด นักเขียน ตลอดจนปัญญาชนผู้อาจเป็นอันตรายต่ออุดมการณ์ของพรรคนับแสนคนถูกกำจัดจนเหี้ยน
ไม่กี่ปีหลังจากนั้นในอีกซีกโลกหนึ่ง, ช่วงปลายทศวรรษ 1960 จนถึงต้นทศวรรษ 1970 เหล่าหนุ่มสาวเสรีชนผู้ต่อต้านสงครามเวียดนาม และการใช้ความรุนแรง ได้ออกมาแสดงจุดยืนโดยการเดินขบวนประท้วง ทว่าพวกเขากลับปะทะเข้ากับกลุ่มตำรวจ อัลเลน จินส์เบิร์ก (Allen Ginsberg) นักเขียนและกวีชาวอเมริกันจึงได้เขียนบทความชื่อว่า How to Make a March/Spectacle ขึ้นในปี 1965 เพื่อแนะนำผู้ประท้วงให้เปลี่ยนมาใช้วิธีการมอบดอกไม้ให้แก่ตำรวจ สื่อ นักการเมือง หรือผู้มาชมดูการประท้วงแทน
หลังจากนั้นพลังของดอกไม้ หรือ Flower power ซึ่งหมายถึงการต่อต้านอย่างสันติ จึงได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วสหรัฐอเมริกา ตลอดจนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์การลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมของคนหนุ่มคนสาวทั่วทุกมุมโลก เพื่อแสดงถึงพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์
ปี 1973 หรือตรงกับพ.ศ. 2516 ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญขึ้นเหตุการณ์หนึ่ง ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ‘14 ตุลาฯ’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมวลชนชาวไทย
จิระนันท์ พิตรปรีชา อดีตแกนนำนักศึกษาคนสำคัญได้จรดปากกาเขียนบทกวีอันลือลั่นขึ้นบทหนึ่งจนท่อน
‘ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน บริสุทธิ์กล้าหาญ จะบานในใจ’
ได้กลายเป็นวรรคทองที่เหล่าแกนนำคนหนุ่มสาวยังหยิบยกมาแสดงพลังศรัทธาของมวลชนอยู่มิวาย
เพราะคนหนุ่มสาวก็คงเหมือนกับดอกไม้ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ยังมีไฟฝัน มีความศรัทธา มีความหวังที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรมใดๆ เพื่ออนาคตที่พวกเขาเห็นว่าดีกว่า
ถ้าหากโลกใบนี้เป็นป่าใหญ่ที่กำลังเต็มไปด้วยดอกกุหลาบตัดแต่งพันธุกรรมสำหรับใช้กลบกลิ่นกระหายอำนาจ พลังของมวลชนก็คือดอกไม้ตูมที่พร้อมจะผลิบานโดยไม่กลัวเกรงต่อหนามกุหลาบใด ๆ
แม้อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าที่ดอกไม้เหล่านี้จะสามารถแพร่ขยายปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่
แต่เชื่อเถอะว่า พวกเขาจะไม่ยอมให้กุหลาบแห่งอำนาจดอกนั้นมีโอกาสได้เบ่งบานอย่างสบายอกสบายใจแน่นอน.
Numploy