แม้ ‘ดอกทานตะวัน’ จะเป็นพืชพรรณที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสดใส ให้ผู้พบเห็นรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทานตะวันกลับมีตำนานที่ระทมทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นจากทางซีกโลกยุโรปหรืออเมริกาใต้ ลองมาทำความรู้จักตำนานแสนเศร้าจากสองที่มา กับนิทานปรัมปราที่สร้างให้ทานตะวันกลายเป็นตัวแทนความภักดีในรัก และหยัดยืนอย่างไม่หวั่นไหว ดูกันซิว่าเรื่องราวจากฟากฝั่งไหนจะกรีดใจกว่ากัน
รัก – ลุ่มหลง – มั่นคง – วางวาย ไปกับตำนานเทพปกรณัมกรีก
กล่าวกันว่าเทพแห่งดวงอาทิตย์หรืออพอลโล เป็นเทพหนุ่มรูปงามที่มีภรรยามากมายหลายคน หนึ่งในนั้นคือไคลธี่ พรายน้ำสาวแสนสวย ทั้งคู่พบและครองรักกันอย่างแสนสุข จนอพอลโลเกิดไปพบลูคอทโธเอ ธิดาสาวแสนสวยของกษัตริย์ออคามัสในโลกมนุษย์ แม้พ่อของเธอจะขัดขวางทางรักด้วยการจับขังอยู่แต่ในห้อง ห้ามพบผู้ใด เพราะกลัวลูกสาวช้ำใจจากความเจ้าชู้ของอพอลโล แต่เทพแห่งดวงอาทิตย์ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมแปลงกายเป็นแม่ของเธอ และวางแผนเข้าไปในห้องหญิงสาวได้สำเร็จ
เมื่ออพอลโลตกหลุมรักครั้งใหม่ พรายน้ำไคลธี่ก็กลายเป็นรักเก่าที่ถูกลืม ไคลธี่จึงรุดไปพบกับกษัตริย์ออคามัสแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง หวังให้พระองค์จัดการแยกลูกสาวของตนออกจากอพอลโลให้ไกล หากเรื่องราวก็โหดร้ายกว่านั้น เพราะออคามัสทรงพิโรธจัดและสั่งให้ฝังลูกสาวของตนเองทั้งเป็นทันที
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่อพอลโลจะไหวตัวทัน เมื่อเขากลับมาหาหญิงผู้เป็นที่รัก สิ่งที่พบจึงมีเพียงหลุมศพของเธอเท่านั้น อพอลโลไม่ยอมให้ความตายพรากคนรักของเขาไปได้ เขาจึงเปลี่ยนหญิงสาวให้กลายเป็นต้นกำยาน เพื่อให้ควันจากไม้ลอยขึ้นไปหาเขาบนฟากฟ้าทุกครั้งที่มีคนจุดไม้หอมบูชาเหล่าทวยเทพ
ฝ่ายไคลธี่ซึ่งหวังจะได้ความรักคืนมาเมื่อคู่แข่งหายไป กลับได้พบแต่ความเกลียดชังจากหัวใจแห่งอพอลโลมาแทนที่ นางโศกเศร้าและเฝ้าเพียรพยายามอ้อนวอนต่อเทพแห่งดวงอาทิตย์ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเขาทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่มวลมนุษย์ตั้งแต่เช้ายันค่ำ หากอพอลโลก็ไม่เคยชายตาหันกลับมามองเธออีกเลย ไคลธี่นั่งมองอพอลโลอยู่ถึง 9 วันโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวด้วยความทุกข์ระทม และทนอยู่กับความทรมานจากการถูกหมางเมิน หากความเป็นอมตะก็ทำให้เธอละทิ้งชีวิตไปไม่ได้ เหล่าบรรดาทวยเทพทั้งหลายจึงเห็นใจ พากันเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นดอกไม้หยัดยืนสูงสง่า มีใบสีเขียว และมีกลีบดอกสีเหลืองสดใสคล้ายสีผมของเธอ แต่ด้วยความรักที่ตราตรึงฝังใจ แม้เปลี่ยนร่างเป็นดอกไม้ เธอก็ยังคงหันหน้าเข้าหาดวงตะวันอย่างไม่ยอมละสายตา – – และนั่นคือที่มาของดอก ‘ทานตะวัน’ ดอกไม้อันมั่นคงในรักมากกว่าชีวิตตน
ตำนานเทพปกรณัมอาร์เจนตินา… เมื่อมิได้รัก ฉันจักยอมตาย
กล่าวกันว่ามีชนเผ่า 2 ชนเผ่า อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้กับแม่น้ำ Paraná ซึ่งไหลผ่านประเทศอาร์เจนติน่า โดยมีสองหัวหน้า พิริยาและมานดิโอเป็นผู้ปกครองแต่ละกลุ่ม ทั้งสองเผ่าทำการค้าขายแลกเปลี่ยนอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงแบ่งพื้นที่หาอาหารกันอย่างฉันมิตรมายาวนาน พิรายานั้นมีลูกสาวคนสวยคือคารันได เธอคือหญิงผู้หลงใหลในดวงอาทิตย์เป็นที่สุด ตั้งแต่เยาว์วัย หากวันไหนดวงอาทิตย์สดใสเปล่งประกาย อารมณ์ของเธอก็จะชื่นบาน แต่หากวันนั้นเมฆหมอกปกคลุมจนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง เธอจะรู้สึกเศร้าสร้อยและหม่นหมอง
วันหนึ่ง มานดิโอได้เสนอความคิดที่จะผสานความสัมพันธ์ระหว่างสองเผ่าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น มานดิโอขอให้พิรายายกลูกสาวให้แต่งงานกับตนเสีย แต่เขาถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าคารันไดนั้นไม่สามารถแต่งงานกับผู้ใด เนื่องจากนางได้อุทิศตนให้กับเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปแล้ว เมื่อมานดิโอได้ยินจึงเกิดโมโห เพราะคิดว่านั่นคือการดูแคลนโดยยกคำโกหกมาเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธเขา ตั้งแต่นั้น เขาจึงผูกพยาบาทและวางแผนจะแก้แค้น
หลายวันต่อมา ขณะที่คารันไดกำลังลอยเรือในแม่น้ำเพื่อชมความงามของพระอาทิตย์ตก เธอก็เห็นเปลวไฟลุกโชนขึ้นในบริเวณหมู่บ้านของตน เธอรีบพายเรือกลับเข้าฝั่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันใดนั้น มานดิโอก็ปรากฏตัวพร้อมกรีดร้องตะโกนใส่หน้าเธออย่างคลุ้มคลั่ง
“ลองอ้อนวอนดูสิ ว่าพระอาทิตย์ของเธอจะช่วยได้มั้ย!”
คารันไดไร้ซึ่งหนทางอื่นที่จะทำได้ เธอจึงเริ่มต้นอ้อนวอนต่อเทพแห่งดวงอาทิตย์ให้ช่วยเหลือครอบครัวและผู้คนของเธอ สิ้นเสียงภาวนาก็เกิดรัศมีแสงอาทิตย์เจิดจ้าลงมาเป็นเกราะป้องกันไฟให้แก่ผู้คนและสัตว์ป่าที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่คารันไดกลับอันตรธานหายไป หากตรงพื้นดินที่เธอเคยยืนอยู่นั้น กลับปรากฏดอกไม้ค่อย ๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว มันมีก้านหยัดยืนแข็งแกร่งอย่างทรนง มีใบแข็งแรงสีเขียว และดอกสีเหลืองจัดจ้า เชื่อกันว่าดอกไม้นั้นคือจิตวิญญาณของคารันได ซึ่งจะเติบโตและคอยดูแลเผ่าพันธุ์ของเธอไปตลอดกาล แน่นอนว่าเธอยังคงหลงใหลและคอยจับตาดูเทพของตนอยู่ตลอดเวลา และนั่นคือคำอธิบายว่าทำไมทานตะวันจึงมักหันหน้าตามแสงอาทิตย์อยู่เสมอ
Sudsaijai