ย้อนประวัติศาสตร์สู่การจัดดอกไม้ครั้งแรกของโลก
มนุษย์เราผูกพันกับดอกไม้มาเป็นเวลานาน
นานขนาดว่า แม้เราจะยังไม่รู้จักการประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อเขียนคำสวยหรูแนบการ์ดไปกับดอกไม้ช่อใหญ่ แต่การรู้จักหยิบเอาความสวยงามของดอกไม้แต่ละชนิดมาสร้างสรรค์รวมกันให้สื่อความหมายก็ดำเนินมาก่อนหน้านั้นนับพันปี
แม้จะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าการจัดดอกไม้ครั้งแรกของมนุษย์เกิดขึ้นตอนไหน แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็พาเราย้อนกลับไปได้ถึงยุคอียิปต์โบราณ หรือเมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาลนู่นเลย
ในตอนนั้น ชาวอียิปต์โบราณรู้จักการหยิบเอาดอกไม้ใกล้ตัวมาช่วยตกแต่งและเพิ่มสีสันให้กับพื้นที่ต่างๆ ในบ้าน บนโต๊ะอาหาร หรือแม้กระทั้งการใช้พวงดอกไม้แสดงความรักและความอาลัยก็มีปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยๆ ในภาพวาดของพวกเขา
และการจัดดอกไม้ในแต่ละครั้งก็ไม่ใช่แค่การตกแต่งเพื่อความสวยงามเพียงเท่านั้น แต่ดอกไม้ทุกดอกที่ถูกหยิบใช้ ล้วนมีความหมายลึกซึ้งตามความเชื่อโบราณ
ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่พบได้บ่อยที่สุด ดอกไม้ที่มีรูปร่างคล้ายกับใบพัดขนาดใหญ่ในภาพวาดเหล่านี้ ผูกพันกับชาวอียิปต์โบราณมายาวนาน นอกจากกลิ่นของมันจะใช้ทำน้ำหอมที่ขึ้นชื่อว่ามีกลิ่นหอมที่สุดแล้ว ดอกบัวยังเป็นสัญลักษณ์แทนเทวีไอซิส เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มักปรากฎภาพสวมมงกุฎดอกบัวอยู่เสมอ
ชาวอียิปต์โบราณยังนิยมปลูกดอกบัวกันอย่างแพร่หลาย เพราะดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เติบโตได้ตลอดทั้งปี พวกเขาจะปลูกดอกบัวสองสี คือดอกบัวสีขาว (Nymphaea lotus) และดอกบัวสีฟ้า (Nymphaea caerulea) ดอกบัวสีขาวจะบานในตอนกลางคืน ในขณะที่ดอกบัวสีฟ้าจะจมอยู่ใต้น้ำและบานในตอนกลางวัน ซึ่งมีวงโคจรเหมือนกับระบบสุริยะและการเติบโตของมนุษย์ ในบ้านของชาวอียิปต์โบราณจึงใช้ถ้วยดอกบัวลอยน้ำตั้งไว้แทนการตกแต่งและบูชา หรือตั้งไว้ที่หลุมศพเพื่อแสดงความอาลัย
อีกหนึ่งพันธุ์ไม้ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือต้นปาปิรุส ที่หลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันดีเพราะมันคือพืชที่ใช้ในการทำกระดาษชนิดแรกๆ ของโลก
ปาปิรุสขึ้นเป็นกอริมแม่น้ำไนล์ มีสีเขียวสด คล้ายต้นกกของบ้านเรา ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าพวกมันสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และชีวิต พวกเขาจึงนิยมนำก้านปาปิรุสมาทำเป็นสร้อยคอเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง
ในสมัยอาณาจักรเก่า (2575-2510 ปีก่อนคริสตกาล) ชาวอิยิปต์โบราณนิยมนำดอกบัวและก้านปาปิรุสมาพันรวมกันเป็นช่อดอกไม้ มีความหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวของแผ่นดินอียิปต์ที่แบ่งเป็นสองส่วน คือ อิยิปต์บนและอียิปต์ล่าง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคอาณาจักรใหม่ (1570-1544 ปีก่อนคริสตกาล) ชาวอียิปต์ก็นำดอกไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีสีสันสดใสมาใช้ในการจัดดอกไม้และพวงหรีดเพื่อความสวยงามเพิ่มเติม เช่น ดอกคอร์นฟลาวเวอร์ที่มีสีม่วง ดอกป๊อปปี้สีแดง และผลแมนเดรกสีเหลือง
ช่อดอกไม้โบราณจะมีขนาดเล็กพอถือได้ เพื่อให้ได้กลิ่นหอมพอดี พกพาสะดวก และหญิงสาวมักใช้เป็นของขวัญมอบให้สามีที่กลับบ้านหลังจากไปทำงานต่างเมือง การจัดดอกไม้ขนาดเล็กจะใช้ก้านปาปิรุสเป็นฐาน แล้วแซมด้วยดอกไม้สีสันสดใสต่าง ๆ บนยอด แต่บางครั้งเราก็สามารถพบช่อดอกไม้แบบใหญ่ ซึ่งมีขนาดสูงพอๆ กับผู้ถือ ทำจากปาปิรุสก้านยาว พันด้วยดอกไม้หลายชนิดเป็นชั้น ๆ ได้เหมือนกัน
นอกจากช่อดอกไม้เหล่านี้จะใช้มอบให้กับคนที่รักและบูชาแล้ว ชาวอียิปต์ยังใช้ช่อดอกไม้เล็กใหญ่ทั้งหลายตกแต่งในสถานที่ทางศาสนา และใช้ในการบูชาเทพเจ้า ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อให้ดอกไม้กับเทพเจ้า เทพเจ้าก็จะบันดาลพรกลับมาให้เราเช่นกัน
แม้รายละเอียดของช่อดอกไม้แบบอียิปต์จะไม่ได้โดดเด่นหรือหลากหลายนัก แต่ความสวยงามของมันได้กลายเป็นต้นแบบของช่อบูเก้ ช่อดอกไม้ที่แฝงไปด้วยความหมายดี ๆ ที่อยู่กับผู้คนมาทุกยุคทุกสมัยและกระจายไปในทุกๆ วัฒนธรรม
Ames