“เอี้องเอย คนขานนามเอี้องผึ้ง กลีบเหลืองปานน้ำผึ้ง หอมตรึงต้องใจภุมรา” ท่อนหนึ่งจากบทเพลง ‘เอื้องผึ้ง – จันผา’ ของเทพบุตรโฟล์คซองคําเมืองแห่ง ดินแดนล้านนา ‘จรัล มโนเพ็ชร’ ผู้ล่วงลับ ดังก้องผ่านเข้ามาถึงโสตประสาททันทีที่ได้เห็นคํา ‘ดอกเอื้องผึ้ง’ กล้วยไม้เจ้าเสน่ห์สีเหลืองอมส้มแสด คอยส่งกลิ่นหอมจรุงอ่อน ๆ เจือหวาน สมนาม ‘Honey Fragrance’ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงพฤษภาคม
คําว่า ‘เอื้อง’ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ท่านลงความหมายไว้ว่าเป็น “ภาษาถิ่นพายัพ (น.) หมายถึง ต้นกล้วยไม้” ส่วน ‘เอื้องผึ้ง’ หรือ ‘Dendrobium lindleyi Steud’ นั้น ตั้งเพื่อเชิดชูเกียรติแด่ ‘Sir John Lindley’ ผู้ค้นพบกล้วยไม้ชนิดนี้ครั้งแรกทางตอนเหนือของประเทศพม่า ตั้งแต่ ค.ศ. 1840 หรือ พ.ศ. 2383 ร้อยแปดสิบปีล่วงมาพอดิบพอดี
ดอกเอื้องผึ้งมักพบอยู่ตรงบริเวณป่าดิบแล้ง สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 300 – 1,500 เมตร โดยเกาะเติบโตอยู่กับไม้ใหญ่ตามคาคบสูง เมืองไทยพบเจอได้มากทางภาคเหนือ หรือตะวันออกเฉียงเหนือ ดอกมีกลิ่นหอมแรงช่วงกลางวัน ช่อย้อยยาวประมาณ 15 – 40 เซนติเมตร จํานวนดอกไม่แน่นนัก จึงพลิ้วไหวยามต้องลมพัด ดอกบานเต็มที่ไม่เกินสามเซนติเมตร แรกบานมีสีเหลืองอมเขียว ต่อมาสีจะเข้มขึ้น เป็นเหลืองอมส้มแสด ดอกเอื้องผึ้งบานนานสุดราวห้าวัน แต่หากถูกน้ำฝนชะก็จะอายุสั้นเพียงสองหรือสามวันเท่านั้น
ยิงกว่าโศกนาฏกรรมตามเพลง ‘เอื้องผึ้ง – จันผา’ แล้ว ปัจจุบัน ‘ดอกเอื้องผึ้ง’ ได้รับความสนใจจากธุรกิจน้ำหอมอย่างมาก ด้วยกลิ่นหวานมหัศจรรย์ราวน้ำผึ้งสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์จึงมีมูลทางธุรกิจสูงเกินเพื่อนพ้อง
แรกเริมเดิมทีชาวโรมันและกรีกโบราณผลิตน้ำหอมโดยแช่ดอกไม้ลงในน้ำมันมะกอกเพื่ อดูดซับกลิ่นจากพืช น้ำมันหอมนี้จึงมีราคาแพง และนิยมใช้กันเพียงหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น กระทั่งชาวอาหรับซึ่งเป็นพวกแรกที่รู้จักสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่น (distillation) โดยใช้ดอกบดละเอียด แล้วจึงอบด้วยไอน้ำร้อน เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยกลายเป นไอเก็บไว้ยังหลอดแก้ว
ดอกเอื้องผึ้งเคยถูกมานําเข้ากระบวนการดังกล่าวข้างต้นเช่นกันในยุคก่อน ร.ศ. 150 แต่ปริมาณน้ำมันหอมระเหยอันโดดเด่นก็ยังถูกใช้สอยบนพระราชสํานัก เท่านั้น ต่างกับสมัย พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา ‘เอื้องผึ้ง’ กลับยืนหยัดอย่างหอมหวนทั่ว วงการน้ำหอมโลกภายใต้ชื่อ – กลิ่นกล้วยไม้จากภูผาตะวันออก
‘Orchid of Eastern Mountains’
RakDok